green and brown plant on water

เคล็ดลับการฝึกมโนมยิทธิ จากโลกียะ เป็น โลกุตระอภิญญา

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2568

เรื่อง เคล็ดลับการฝึกมโนมยิทธิ จากโลกียะ เป็น โลกุตระอภิญญา

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม กำหนดรู้ทั่วร่างกาย พร้อมกับความรู้สึกพิจารณาปล่อยวางผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกายทุกส่วน ผ่อนคลายปล่อยวางตัดร่างกายตัดขันธ์ห้า ตัดความรู้สึกเกาะเกี่ยวจิตที่ไปรับรู้ผัสสะเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับกายทั้งหมด เราปล่อยวางพร้อมกับความรู้สึกผ่อนคลาย วางว่างเบา สติกำหนดดูกำหนดรู้ว่าเมื่อเราวางแล้ว เราเข้าถึงความเบาความสงบความสบายของจิตไหม จิตมีสภาวะรวมตัวเข้าสู่ความสงบในระดับฌานหรือไม่ กำหนดปล่อยวางร่างกาย กำหนดดูกำหนดรู้ในจิต แยกรูปเพื่อกำหนดนาม ปล่อยวางขันธ์ห้าร่างกาย เพื่อกำหนดรู้ในจิต วางหยาบไปหาละเอียดคือจิต ทรงสติตัวรู้ กำหนดรู้ในความสงบกำหนดรู้ในการปล่อยวาง  จิตรวมนิ่งสงบ

จากนั้นกำหนดสติ กำหนดใช้จิตตานุภาพ หยุดจิต หยุดความคิด หยุดการปรุงแต่ง นิ่งหยุด เพื่อเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ สงบนิ่งเป็นหนึ่ง จิตเบาสบาย ปล่อยวางกาย ปล่อยวางความคิดความกังวลทั้งหลาย อยู่กับความสงบนิ่ง ประคองสมาธิสมาบัติความสงบนิ่งนี้ ให้มีความทอดยาวตั้งมั่น ทรงสมาบัติ สติพิจารณากำหนดรู้ในความสงบความเบาความสบายของจิต พิจารณาจิตของเรา ว่าจิตเราเริ่มปรากฏสิ่งที่เรียกว่าธรรมฉันทะในความสงบหรือไม่ จิตยินดี จิตพึงพอใจ จิตรักจิตชอบในอารมณ์ของความสงบความสบาย พิจารณาเปรียบเทียบกับสภาวะในอารมณ์แบบโลก กระแสแบบโลก ที่มีความวุ่นวายมีการกระทบ มีความเร่าร้อน มีความอึดอัดใจ มีความระคายเคืองใจ พิจารณาว่าเมื่อเราเจริญพระกรรมฐานปล่อยวาง จิตเราเข้าถึงความสุขความสงบความสบาย เรื่องราวความวุ่นวายทางโลกเราปล่อยได้เราวางได้ วางเพื่อให้ใจของเรานั้นเข้าถึงความสุข วางได้ ละได้ ดับได้ ก็เท่ากับเราละความทุกข์ ปล่อยวางความทุกข์ เมื่อวางความทุกข์ จิตก็พบความสุข ความสุขของความสงบ เมื่อพิจารณาแล้วก็ยิ่งกำหนดให้จิตของเราเกิดปัญญา กำหนดรู้ความเข้าใจว่าความสุขของความสงบ ความสุขที่เป็นของละเอียดปราณีตไม่เจือไปด้วยวัตถุ ไม่ต้องอาศัยวัตถุอามิส ไม่จำเป็นต้องมีข้าวของเงินทองแล้วจะมีความสุข หลับตา สงบ อยู่กับลมหายใจสบาย ปล่อยวางตัดผัสสะความรู้สึกความเกี่ยวเนื่องทางร่างกาย เข้าสู่ฌานเข้าสู่สมาธิในระดับสูง ยิ่งวางยิ่งสงบ ยิ่งวางยิ่งว่างเบาสบาย จดจ่อทรงอารมณ์อยู่กับความสงบ พิจารณาให้จิตยินดี เกิดธรรมฉันทะในความสงบในฌานในสมาธิ

จากนั้นเรากำหนดยกกำลังใจกำลังฌานสมาบัติให้สูงขึ้น กำหนดจากความสงบความนิ่ง หยุดความคิด จิตรวมเป็นหนึ่ง ทำความรู้สึกว่าจิตนั้นค่อยๆรวมตัวเข้ารวมตัวเข้าจนกลายเป็นจุดเดียว จุดที่จิตนิ่งหยุดเป็นหนึ่งคือเอกัคคตารมณ์ หยุดปรุงแต่งหยุดความคิด เป็นทั้งเอกัคคตารมณ์ เป็นทั้งอุเบกขารมณ์ วางเฉยต่อสิ่งที่มากระทบทั้งปวง นิ่งหยุด จากจุดที่นิ่งหยุดเรายกขึ้น จากอานาปานาสติขึ้นสู่กสิณ จากจุดขยายกลายเป็นวง จากวงขยายกลายเป็นทรงกลม กลายเป็นดวงแก้ว ดวงแก้วคือดวงกสิณ ภาพนิมิตของกสิณ กำหนดน้อมเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา จิตคือกสิณ กสิณคือจิต กสิณมีอานุภาพแห่งอภิญญาจิตเพียงใด มีกำลังความเป็นทิพย์มากเพียงใด จิตเราก็สัมพันธ์มีกำลังผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับภาพของกสิณ ดวงแก้วก็คือดวงจิต กสิณก็คือดวงจิต กำหนดให้จิตของเรานั้นกลายเป็นแก้วใสขึ้นสว่างขึ้นเป็นเพชรระยิบระยับ เข้าสู่ปฏิภาคนิมิต เข้าสู่จิตประภัสสร กำหนดเห็นจิตเป็นเพชรระยิบระยับสว่าง มีรัศมีมีเส้นแสง พ้นเลยจากเส้นแสงรัศมีจิต ปรากฏสภาวะอาณาบริเวณความเป็นทิพย์ มีความเป็นกากเพชรโปรยปรายพร่างพรายรายรอบ กำหนดความรู้สึก จิตตานุภาพแห่งกสิณเปี่ยมพลังอยู่ภายในจิตของเรา ธาตุสี่ดินน้ำลมไฟรวมเป็นหนึ่งในจิตของเรา สีสันรัศมี กสิณสีรวมอยู่เป็นหนึ่งในจิตของเรา กสิณแสงสว่าง กสิณความว่างที่วางรวมอยู่ในจิตของเรา กสิณทั้งสิบรวมผนึกเป็นหนึ่งเดียว 

กำหนดเห็นจิตเป็นประภัสสร สว่าง ทรงอารมณ์ทรงสภาวะ พร้อมกับความรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง เปี่ยมพลังประจุอัดแน่นอยู่ภายในจิตของเราอย่างยิ่ง ทรงสภาวะทรงอารมณ์

เมื่อจิตทรงสมาบัติในกสิณจนมีความทรงตัว เราก็น้อมจิตยกกำลังใจขึ้นไปอีก กำหนดน้อมอาราธนาพุทธานุภาพ ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ภาพพุทธนิมิตบารมีของพระพุทธองค์ มาสถิตเป็นหนึ่งอยู่ภายในจิตของเรา จำไว้ว่าทุกครั้งที่เราทรงภาพพระในดวงจิต เรากำหนดน้อมว่าจิตเราเข้าถึงกำลังแห่งไตรสรณคมน์พุทธานุภาพเต็มกำลังเสมอ เมื่อมีภาพพระพุทธองค์เป็นหนึ่งในจิตของเรา จิตของเรานั้นเข้าถึงพระภายใน คือการที่เราอาราธนาพุทธานุภาพพุทธบารมีของพระพุทธองค์ มาเสด็จประทับประดิษฐานอยู่ภายในจิตของเรา เรามีพระภายใน เมื่อเรามีพระภายในถึงเวลากระแสธรรม ธรรมที่ผุดรู้ตัวรู้มีกระแสธรรมปรากฏขึ้นในจิต ตรงนี้จิตเราก็เข้าถึงพระธรรม ไตรสรณคมน์ในธรรม นึกถึงว่ามีครูบาอาจารย์มาปรากฏในจิต จิตเราก็เข้าถึงสังฆานุภาพไตรสรณคมน์ในพระสงฆ์

ดังนั้นจิตของเราเข้าถึงไตรสรณคมน์อย่างสมบูรณ์ กำหนดรู้พิจารณากำกับเพิ่มเสริมจากกำลังใจทั่วไป ไม่ใช่เพียงแต่เพียงแค่นึกภาพพระอย่างเดียว จิตน้อมเข้าถึงไตรสรณคมน์ เมื่อน้อมนึกจนปรากฏพุทธานุภาพ กำหนดน้อมอาราธนาอธิษฐาน ขอให้องค์พระท่านเมตตาแผ่ฉัพพรรณรังสี รัศมีของจิตยิ่งสว่างกระจายออกไปอีก มีกำลังยิ่งมากกว่ากำลังที่เราเปล่งประกายแสงสว่างจากจิตประภัสสรโดยลำพังของจิตเรา กำหนดจิตแผ่กระแส น้อมจิตว่ากระแสแสงสว่างที่ปรากฏ รัศมีของจิตเป็นกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ แผ่ออกไปยังสามภพสามภูมิ

เมื่อทรงอารมณ์กระแสการที่เราทรงภาพพระจนปรากฏกำลังของพุทธานุภาพ จิตมีความตั้งมั่น กำลังของจิตมีความทรงตัวในอำนาจแห่งพุทธานุภาพ เราก็ย้อนทบทวนพิจารณา ว่าการปฏิบัติธรรม การตัดร่างกายขันธ์ ห้า เราก็ได้ปฏิบัติเราได้เจริญมาดีแล้ว การทรงฌานสมาบัติทรงสมาธิเราก็ยกจิตตั้งแต่ฌานสี่ ในอานาปาขึ้นมาจนกระทั่งถึงฌานสี่ในกสิณ ก็คือปฏิภาคนิมิต เข้าถึงพุทธานุภาพ เข้าถึงพุทธานุสติ อาโลกสิณ เห็นองค์พระสว่างก็เป็นอาโลกสิณ ธาตุทั้งสี่ก็พิจารณา นะ มะ พะ ทะ จากการที่เรารวมกสิณทั้งสิบเป็นหนึ่ง เราปฏิบัติเหตุให้ถึงพร้อม 

จากนี้เราก็กำหนดจิตที่จะยกขึ้นสู่กำลังของมโนมยิทธิ ถ้าเราเข้าใจหลักของมโนมยิทธิ วันนี้ซึ่งจะกล่าวถึงเพิ่มมากเป็นพิเศษ เกร็ดเคล็ดลับวิชาของมโนมยิทธินั้น ครูบาอาจารย์ท่านก็สอน ว่าเป็นการเจริญพุทธานุสติควบกับอาโลกสิณ จริงๆเป็นวิชาของพระพุทธเจ้า เป็นวิชาที่พระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์โดยตรงสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน โดยที่เป็นกำลังของผู้ปฏิบัติครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่งคือทำอะไรบ้าง ครึ่งหนึ่งคือพิจารณาในการตัดกิเลส ตัดกิเลสคือการตัดร่างกาย ดังนั้นจุดสำคัญก็คือการตัดร่างกายขันธ์ ห้า การตัดร่างกายขันธ์ ห้า ตัดทำไม ตัดเพื่อเป็นการแยกกายแยกจิตแยกรูปแยกนาม เมื่อเราตัดร่างกายขันธ์ ห้า ได้มากพอ จิตเกาะจิตห่วงจิตยึดในร่างกายน้อยมาก จิตหรืออาทิสมานกายก็จะสามารถใช้กำลังความเป็นทิพย์ ยกจิตขึ้นไปยังภพภูมิต่างๆได้ ใช้ญาณเครื่องรู้ในความเป็นทิพย์ของการเป็นกายทิพย์ต่างๆได้ รวมความว่าสิ่งที่เป็นเครื่องรั้งเครื่องขัดขวางอภิญญาสมาบัติ ความเป็นทิพย์ของจิตก็คือร่างกาย ยิ่งเกาะร่างกายมากความเป็นทิพย์ก็ปรากฏน้อย ความหนักก็มาก ความหนักที่ว่าคือความหนักของจิต แต่ยิ่งตัดขันธ์ ห้า ร่างกายมากเท่าไร กายทิพย์ก็มีความเบามีความคล่องตัวมากเท่านั้น เมื่อเราพิจารณาทำความเข้าใจแล้ว ตัดกายก็เพื่อให้แยกกายทิพย์ไปยังภพภูมิต่างๆได้ง่ายได้เบา

ส่วนที่สองก็คือสมถะ สมถะคืออะไร สมถะก็คือการที่จิตเราสงบระงับนิวรณ์ ห้า ระงับความฟุ้งซ่าน ระงับความห่วงความกังวลปลิโพธทั้งหลาย เมื่อจิตมีความสงบ จิตรวมตัวเป็นหนึ่ง จิตมีกำลัง ก็ใช้ความเป็นทิพย์คืออภิญญาได้

คราวนี้ต่อมาในเรื่องของผู้ปฏิบัติที่ต้องปฏิบัติอีกครึ่งหนึ่ง ตรงนี้ก็คือจุดสำคัญที่สุดจุดหนึ่งของมโนมยิทธิ นั่นก็คือจิตของเรามีความนอบน้อมมีความเคารพต่อพระพุทธเจ้าต่อพระรัตนตรัยเพียงใด ยิ่งมีศรัทธามีความนอบน้อมมีความเคารพมากเท่าไร กระแสแห่งพุทธานุภาพย่อมสงเคราะห์ย่อมเชื่อมโยง ต่อเชื่อมกับจิตของเราได้มากกว่าบุคคลที่มีวิจิกิจฉาความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย บุคคลที่มีความหยาบบุคคลที่เคยปรามาสพระรัตนตรัยมา หรือเคยปรามาสกำลังแห่งพระกรรมฐานมา 

ดังนั้นบุคคลที่มีปัญหาตรงจุดนี้ 1 วิธีแก้ไขก็คือ การกราบขอขมาพระรัตนตรัย ด้วยความสำนึกด้วยความรู้สึก ว่าเรายอมถ่อมใจถ่อมจิตเต็มที่ สิ้นมานะความอหังกาทั้งหลายต่อพระรัตนตรัย ต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระอริยสงฆ์ ต่อครูบาอาจารย์ อันนี้คือข้อที่ 1

วิธีแก้ข้อที่สองก็คือความนอบน้อม ยิ่งนอบน้อมอ่อนโยนมากเท่าไร กระแสแห่งพุทธานุภาพกำลังที่พระท่านสงเคราะห์ก็มากกว่าคนที่มีความหยาบมีความกระด้าง

ดังนั้นความสำคัญก็คือยิ่งจิตปราณีต จิตยิ่งสัมผัสความเป็นทิพย์ได้อย่างละเอียด นั่นก็คือสัมผัสกับการใช้ทิพย์จักษุญาณได้มากกว่า บุคคลที่มีความกระด้าง ยิ่งหยาบมากยิ่งกระด้างมาก จิตไม่มีความปราณีต เวลาจะเห็นเวลาที่จะรู้ สิ่งที่จะผุดรู้ในจิต มันก็จะมีความชัดเจนแจ่มใสน้อยกว่า เมื่อทำความเข้าใจตรงจุดนี้แล้ว เวลานี้ก็ให้เราปรับจิตปรับใจของเรา น้อมจิตน้อมใจของเรา  ถ่อมจิตถ่อมใจของเรา ให้จิตเรามีความละเอียด มีความปราณีต มีความอ่อนโยน น้อมรำลึกถึงพระพุทธองค์อ่อนน้อม แล้วน้อมจิตอธิษฐานว่า เมื่อจิตของข้าพเจ้ามีความอ่อนโยนปราณีตเพียงพอ ก็ขอให้พุทธนิมิตในดวงจิตข้าพเจ้านี้ยิ่งเปล่งประกาย ยิ่งส่องสว่าง ยิ่งใส องค์พระท่านยิ่งยิ้ม จิตเรายิ่งเบิกบานด้วยเทอญ

ตอนนี้ก็ให้เราปรับฐานปรับกำลังใจ ถ่อมใจกราบ ความรู้สึกเรากราบนอบน้อมเคารพรักพระพุทธเจ้าอย่างถึงที่สุด แล้วก็พิจารณาดูว่าองค์พระในจิตเรายิ่งสว่างใสขึ้นไหม องค์พระท่านยิ้มจิตเรายิ้มมากขึ้นไหม จิตเป็นสุขไหม เมื่อจิตเราละเอียดปราณีตขึ้นสว่างขึ้นใสขึ้น เราก็อาราธนาบารมีพระตอนนี้ เพราะถือว่ากำลังที่ท่านสงเคราะห์มาตอนนี้ มีกำลังสูงเพราะจิตเราเปิดรับกำลังกระแสพุทธานุภาพได้มาก ก็ตั้งจิตอธิษฐาน ขอกำลังแห่งพุทธคุณธรรมคุณสังฆคุณ ขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตอาทิสมานกายข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน ณ บัดนี้ด้วยเทอญ แล้วก็สังเกตดูว่าจิตกายทิพย์เราตอนนี้ปรากฏพุ่งขึ้นไปเร็วไหมสว่างไหม กายทิพย์ที่ขึ้นไปปรากฏบนพระนิพพานมีความชัดเจนมีความสว่างไหมอธิษฐานจิตต่อไปว่า ขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอให้จิตกายพระวิสุทธิเทพข้าพเจ้าปรากฏขึ้น ท่ามกลางมหาสมาคม คือพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ บนพระนิพพานโดยมีสมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาเป็นประธานแห่งมหาสมาคมนั้นด้วยเทอญ

เมื่อปรากฏเห็นทุกท่านเห็นทุกพระองค์ ก็กำหนดน้อมขอให้เห็นไกลไปสุดสายตา เห็นอาณาเขตอันไม่มีประมาณของพระนิพพาน พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ หรือแม้แต่พระอรหันต์ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในอดีต ขอให้ปรากฏขึ้นไม่เฉพาะพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเพียงเท่านั้น ขอให้พบเห็นอาณาเขตขอบเขตอันไม่มีประมาณแห่งพระนิพพาน กำหนดขอให้จิตเราเปิดญาณทัศนะเปิดจิตเห็นกว้างไกล

จากนั้นอธิษฐานจิตต่อว่า ท่านใดที่เคยเกี่ยวพันเป็นพ่อแม่ เป็นพี่น้อง เป็นสามีภรรยา เป็นลูกหลาน หรือเป็นญาติ หรือเป็นผู้มีพระคุณ มีความเกี่ยวเนื่องกับข้าพเจ้าในพระพุทธเจ้าในอดีตแต่ละพระองค์ ก็ขอให้ปรากฏเลื่อนเข้ามาเสด็จมาประทับใกล้กับเรามากขึ้น แล้วก็ขอความเป็นทิพย์น้อมจิตดูว่า ท่านที่เรารู้จักเข้าถึงพระนิพพานกันมามากแค่ไหน มีมากหรือมีน้อย

จากนั้นกำหนดจิตกราบให้ถึง แยกอาทิสมานกายกราบให้ถึงทุกท่านทุกๆพระองค์ ขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์ดูแลคุ้มครองจิตข้าพเจ้า ให้อยู่ในกุศล ให้อยู่ในกระแสมรรคผลพระนิพพาน บุญกุศลทานศีลภาวนาข้าพเจ้าน้อมจิตถวาย มีปรากฏมากไหม เมื่อกำหนดรู้แล้วเราก็พิจารณาต่อไป พิจารณาในเรื่องของการใช้มโนมยิทธิ เพื่อการปฏิบัติในมรรคผลพระนิพพาน อย่าลืมว่าการได้อภิญญานั้นเป็นเรื่องที่ดี การที่เราได้อภิญญาเป็นเครื่องส่งเสริมกำลังศรัทธาในจิตของเรา ความเป็นทิพย์ญาณเครื่องรู้ต่างๆ ทำให้จิตเราเกิดความมั่นใจ ว่าการปฏิบัติที่เราปฏิบัติได้นั้นเป็นของจริง เป็นธรรมแท้ เป็นสิ่งที่เราปฏิบัติแล้วเกิดรู้เห็นกระจ่างเป็นปัจจัตตัง ก็คือรู้ได้ด้วยตัวเอง เป็นประสบการณ์ที่คนอื่นก็ไม่อาจสัมผัสเข้าใจเข้าถึงได้อย่างผู้ที่ประสบด้วยตนเอง อันนี้เป็นข้อที่ 1 แต่ในขณะเดียวกัน ทุกสรรพสิ่งมีประโยชน์ก็มีโทษ ถ้าเราใช้ไปในทางที่ผิด กำลังของอภิญญาสมาบัติ กำลังของมโนมยิทธิก็ทำให้เกิดโทษ คือมานะทิฐิ ความรู้สึกว่าเราเก่ง หรือความรู้สึกที่เมื่อไรที่เราหลง ใช้กำลังของมโนมยิทธิโดยไม่มีกำลังของวิปัสสนาญาณมาคุมมากเพียงพอ ถึงเวลาสิ่งที่เรารู้ก็อาจจะค่อยๆผิดเพี้ยนไปเฝือไป จนกระทั่งเมื่อเฝือไปจนถึงที่สุดก็เสื่อม เมื่อไรที่มโนมยิทธิเสื่อมไปแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่แก้ยาก เอากลับมาคืนมายาก ประมาณ 80% ของผู้ที่เคยได้มโนมยิทธิแล้วเสื่อม ส่วนใหญ่ 80% ก็คือไม่กลับมา กู่ไม่กลับ อันนี้มารเขาก็เล่นเอา ทำให้เฝือทำให้เพี้ยนไปจนกระทั่งกู่ไม่กลับ ก็ไกลจากความดีไป เคยปฏิบัติได้ เคยปฏิบัติเข้าถึง ปฏิบัติจนจิตยกขึ้นมาบนพระนิพพานได้ คราวนี้ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานไม่ได้ก็กลายเป็นว่าไกลจากการปฏิบัติเพื่อพระนิพพานไป ก็เสร็จ ตามอำนาจของมารที่เขาต้องการ แต่คราวนี้สิ่งสำคัญที่เราจะปฏิบัติในมโนมยิทธิแล้วเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เฝือ หรือสิ่งที่เราเคยปฏิบัติได้แล้วหายแล้วเสื่อมไป เราจะเอากลับคืนมาได้อย่างไร อันนี้ง่ายๆเป็นเรื่องไม่ยาก อันนี้เป็นเรื่องจากประสบการณ์ตรงของอาจารย์ เพราะของอาจารย์เองก็เคย เคยจากไม่ใช่ว่าอยู่ๆ มันค่อยๆเพี้ยนค่อยๆเฝือ เรียกว่าโดนสกัดดาวรุ่งตั้งแต่แรก โดนสกัดดาวรุ่งก็คือ ตอนนั้นจำได้ท่านจิตโตเป็นผู้เมตตาสกัดดาวรุ่งกับอาจารย์โดยตรง ท่านก็เทศน์โดยตรงว่า ไอ้บางคนจริงๆก็อยากเป็นฮีโร่ อยาก อยากเป็นฮีโร่ ถึงแม้ว่าคิดว่าจะช่วยคน แต่ก็ยังมีความอยากเป็นฮีโร่ ตอนนั้นอาจารย์ก็ยังมีความคิดช่วงนั้นก็เป็นช่วงของเรื่องภัยพิบัติ ทำเรื่องภัยพิบัติมากราบเรียนถาม ท่านจิตโตหลวงพี่สมปองว่าเหตุการณ์จะเป็นยังไงบ้าง จะได้หาหนทางช่วยคนได้ ท่านก็ทักมาตรงนี้พอทักมาเสร็จ คราวนี้สิ่งที่ปรากฏก็คือมโนมยิทธิจอดับ จอดำตลอดเวลา อยู่ๆจอดำดื้อๆ อยู่ ๆ เหมือนปิดสวิตช์ต่อสายไม่ได้ เวลาผ่านไปเราก็ไม่เหมือนคนทั่วไป อันนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ท่านเมตตาสงเคราะห์เพื่อที่ให้เรา 1 จะได้เป็นการปราม 2 เป็นเรื่องที่เราจะได้นำประสบการณ์มาแนะนำคนอื่นต่อ เพราะเราจำเป็นต้องมีหน้าที่ต้องสอนคน วิธีแก้ไขก็คือพิจารณาทบทวน ทบทวนตัวเอง ทบทวนจิต

จากนั้นตอนแรกสมัยก่อนใช้มโนมยิทธิดูมันทุกอย่าง ดูเรื่องทางโลก ดูเรื่องทางโน้นทางนี้ ดูทุกสิ่ง ไม่ได้ดูเฉพาะในเรื่องของธรรมะอย่างเดียว คราวนี้ตอนหลังเราก็มาพิจารณา  วิธีจะไม่ให้เสื่อมทำยังไง วิธีจะไม่ให้เสื่อมก็คือใช้ในขอบเขตที่พระพุทธองค์ทรงเมตตา คือมีพุทธประสงค์โดยตรง ก็คือเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องมรรคผลนิพพานเรื่องการปฏิบัติ เราไม่ต้องไปดูไม่ต้องไปรู้ พอเราดูเฉพาะทางธรรม ถามธรรมะเป็นยังไงธรรมะยังไง เดินจิตพิจารณาทำยังไงฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า พอเรากำหนดแบบนี้ กำหนดขอบเขตว่าเราจะใช้เฉพาะทางธรรมใช้สอนสมาธิ คราวนี้พอวางกำลังใจถูก ไม่เอาไปใช้เรื่องอื่น มโนมยิทธิก็กลับมา คราวนี้สิ่งที่ได้กลับมายิ่งดีกว่าเดิม ก็คือถือว่า ถือว่าเป็นโลกุตระอภิญญาไม่ใช่โลกียอภิญญาแบบเมื่อก่อน เพราะกลายเป็นว่าเรามาใช้ในเรื่องการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน ก็ถือว่าเป็นโลกุตระอภิญญาไม่ใช่โลกียอภิญญา โลกียอภิญญามันยังมีความเสื่อม เพราะไปดูเรื่องนู้นเรื่องนี้ พอดูเรื่องนู้นเรื่องนี้มันก็มีกิเลสของเราไปเจือ มีอคติของเราไปเจือ มีความอยากของเราไปเจือ มีการปรุงแต่งผสมของเราไปเจือ มันก็ออกมาเป็นภาพที่เราปรุงแต่งไม่ใช่ภาพจากอุเบกขา จากจิตที่ปล่อยวาง จิตที่สะอาดจากนิวรณ์ จิตที่สะอาดจากอคติ จิตที่สะอาดจากสิ่งที่เราอยากสิ่งที่เราปรารถนา

ดังนั้นมันต้องฝึกจิตของเราให้อยู่ในอุเบกขารมณ์ก่อนที่จะเกิดญาณผุดรู้ขึ้น คือจิตมันต้องเฉย นิ่งสงบไม่ยินดียินร้ายและกำหนดรู้เป็นญาณที่ผุดรู้ขึ้นมาในจิต พอกำหนดพิจารณาทำอย่างนี้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับคืนมาชัดเจน อันนี้ก็คือถือว่าเป็นการปราม อันนี้ขอเข้าเรื่องในเรื่องของการปราม อันนี้ก็เป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์สอน ส่วนใหญ่ลูกศิษย์หลายๆคนก็มีทั้งมาทั้งไป บางคนมาปฏิบัติด้วย บางคนก็มาปฏิบัติถึงช่วงหนึ่งก็ไป ไปรับใช้ครูบาอาจารย์ท่านอื่นบ้าง หรือห่างไปบ้างตามวาระหมดบุญด้วยกันก็ห่างกันไป แต่ก็มีลูกศิษย์บางคนที่ถือว่าได้มาเล่าให้อาจารย์ฟังทีหลังว่า ถึงเวลาเขาฝึกเขาปฏิบัติ ขึ้นไปกราบสมเด็จปฐม สมเด็จองค์ปฐมท่านกำราบปรามไว้เลยว่า ให้ตั้งใจให้เคารพให้เชื่อให้ช่วยอาจารย์ หลังจากนั้นเขาก็มีความรู้สึกว่า เออ ต้องเข้าใจต้องช่วยต้องนอบน้อมกับอาจารย์ สำหรับลูกศิษย์ที่มากล่าวถึงแบบนี้ก็มีหลายคน 3-สี่ คนซึ่งกล่าวตรงกันหมด ซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็ส่วนใหญ่มีความมั่นคง ช่วยในงานของพระศาสนา ช่วยในงานของการสอน ช่วยในงานภาพรวมมาตลอด ก็ถือว่าไม่ห่างไม่หายไปมีความกตัญญูเป็นความดีของเขา

คราวนี้มาต่อในเรื่องของมโนมยิทธิ ฝึกยังไงที่เราจะไม่เฝือ ฝึกที่จะไม่เฝือก็คือ 1 เราใช้เฉพาะขอบเขตของการปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ใช้ยกจิตขึ้นมากราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เวลาทำทานก็ใช้กายทิพย์มาถวายด้วยภาคทิพย์ถวายพระพุทธองค์ ทำแบบนี้อย่างเดียวให้เป็นปกติ หรือแม้แต่การใช้ญาณ 8 ญาณทั้ง 8 มีอะไรบ้าง ญาณทั้ง 8 มี อดีตังสญาณเรื่องราวในอดีต

ปัจจุปปันนังสญาณเรื่องราวในปัจจุบันแต่อาจจะต่างเหตุการณ์ต่างสถานที่ ไปอยู่ในต่างสถานที่ เช่นรู้ปัจจุบันแต่ไปรู้เรื่องของประเทศอื่นเมืองอื่น

อนาคตังสญาณคือเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นในอนาคต

และญาณต่อๆไป ก็จะเป็นยถากรรมมุนาญาณ เหตุต่างๆจะก่อให้เกิดผลเกิดวิบากให้จิตดวงนั้นหรือเหตุที่กระทำนั้นไปจุติไปเกิดหรือรับผลกรรมอย่างไร ยถากรรม

บุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็หมายถึงญาณที่เป็นเหตุที่เป็นต้นเหตุที่เป็นบุพชาติบุพกรรมก็คือ ชาติเดิมเขาเคยทำอะไรมาเขาเคยทำวิบากอะไรมาถึงเกิดผลแบบนี้

จุดต่างๆเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่เราควรจะสังเกต จำไว้ว่าเวลาใช้ญาณทั้ง 8 จงพิจารณาเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับเรื่องกรรมและกฎของกรรมไว้เสมอ อันนี้เราลองดูตัวอย่างของพระพุทธองค์ เวลาที่ท่านทรงเทศน์ท่านเทศนา เวลาที่เกิดปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นในยุคสมัยของพระพุทธองค์ พระบ้างโยมบ้างก็มากราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะตรัสไว้ 3 เหตุวาระไว้เสมอ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ เกิดขึ้นเพราะอดีตชาติของบุคคลนี้ เคยทำสิ่งนี้สิ่งนี้มา อันนี้คืออดีต มิติของอดีต ปัจจุบันก็คือเหตุที่เกิดขึ้น คือผลของปัจจุบัน แล้วก็มันยังมีผลของอนาคต แล้วท่านก็ตรัสต่อไปว่า ด้วยเหตุนี้ บุคคลนี้ก็จะต้องไปเสวยบุญหรือเสวยวิบากกรรมจากสิ่งที่ทำหรือเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้น ดังนี้ดังนี้ดังนี้ ดังนั้นจริงๆแล้วพระพุทธองค์ท่านจะทรงตรัสเล็งเห็นรู้ทั้งอดีตปัจจุบันอนาคตคือ 3 มิติเสมอ คือรู้ในมิติที่มีความละเอียด ที่มีความไกล ที่มีความลึกถี่ถ้วนมากกว่ามนุษย์ปุถุชนอย่างคนเราทั่วไป อย่างเราเวลาพิจารณาธรรม เราพิจารณาดูว่าถ้าเหตุการณ์ต่างๆเช่นบุคคลบุคคลนี้เกิดผลอะไร ถ้าดูเฉพาะในชาตินี้มันยังไม่เห็นเพราะเขาก็เป็นคนดีไม่ได้ทำอะไร แต่ถ้าย้อนดูในอดีตังสญาณ ย้อนดูในบุพเพนิวาสานุสติญาณ คืออดีตชาติเขาอาจเคยสร้างเคยทำวิบากสิ่งนั้นสิ่งนั้นขึ้น จึงต้องรับผลในปัจจุบัน

ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เรามีการคิดพิจารณาเชื่อมโยงญาณทั้ง 8 เชื่อมโยงกับกฎของกรรมไว้เสมอ เราจะเข้าใจและปล่อยวาง เข้าใจทุกสรรพสิ่งจนจิตไม่มีคำถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นแบบนี้ ทุกอย่างเกิดแต่กรรม กรรมเป็นเครื่องบังคับกรรมนำพาไป ตรงนี้ก็ขอให้ติดอยู่ในจิตในใจของเรา เพราะเมื่อไรที่จิตเราติดเข้าใจแล้วว่าทุกสิ่งกรรมเป็นเครื่องบังคับ กรรมนั้นทั้งบุญทั้งบาป เรามาปฏิบัติธรรมเราตั้งใจปฏิบัติแบบนี้ ก็เพราะเราเคยมีเชื้อแห่งกุศล หลายคนเคยอธิษฐานจิตอธิษฐานมาตั้งแต่ภพพญานาคบ้าง อธิษฐานมาในภพของการเป็นเทวดา ลงมาจุติมาเป็นมนุษย์ ก็อธิษฐานว่าเราจะมาทำนุบำรุงพระศาสนา เราจะมาปฏิบัติเพื่อมรรคผลชาตินี้ หลายๆคนก็ปฏิบัติมาแบบนี้ อันนี้พระท่านก็ฝากมา อาจารย์ก็รู้อยู่ว่าหลายๆคนมีที่มาจากเทวดาบ้าง นาคบ้าง หรือแต่บางบุคคลก็มาจากพรหม แต่ส่วนใหญ่ถ้ามาจากพรหม ก็มักจะเป็นบุคคลที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะมีบ้างที่ปรารถนานิพพานชาตินี้มาจากพรหมแต่ก็ลา ตรงนี้ก็คือเป็นญาณเครื่องรู้ประกอบการพิจารณา คือญาณ 8 ใช้พิจารณาเพื่อให้เราเข้าใจกฎของกรรม พอเราพิจารณากฎของกรรม หนึ่ง เราพิจารณากรรมของบุคคลอื่น เพื่อพิจารณาเป็นครู คือเอาเยี่ยงแต่ไม่เอาอย่าง สิ่งใดที่เป็นโทษเป็นอกุศลเราเห็นแล้วว่าอดีตชาติเขาเป็นแบบนี้ เสวยผลกรรมแบบนี้ ต้องไปเสวยวิบากแบบนี้ เราก็ไม่ต้องไปเสียเวลาทำเอง เราพิจารณาว่าเราก็จะไม่ทำแบบนั้น แต่ในขณะเดียวกันบุคคลนี้เคยสร้างกุศลแบบนี้ เคยทำทานแบบนี้ เคยเจริญพระกรรมฐานมาแบบนี้ในอดีต เราจึงพบว่าปัจจุบันท่านเสวยผลบุญแบบนี้ อนาคตท่านจะเป็นแบบนี้แบบนี้ อันนี้ก็คือเอาอย่าง อันนี้คือเมื่อเราใช้ญาณกับคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วญาณที่เกี่ยวคนอื่น จำไว้ว่าเราไม่ต้องขวนขวาย ไม่ต้องไปสอดส่อง ไม่ต้องไปตามส่อง ถึงเวลาถ้าเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงมีพุทธานุญาตปรารถนาให้เรารู้เพื่อพิจารณา เราก็จะรู้ของเราเอง

ดังนั้นเราเฉยๆ ถ้าบทจะรู้ก็จะรู้เอง จริงๆคนที่จะได้ญาณทัศนะมีญาณชัดเจนแจ่มใส เขาไม่ได้แบบเป็นคนที่แบบเปิด จะต้องไปรู้ไปเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่สิ่งที่จะรู้นั้นจำไว้ว่า ถ้าเราตั้งจิตดีตั้งจิตตรง ตั้งจิตเป็นอุเบกขา สิ่งใดที่สมควรรู้ก็จะรู้ขึ้น สิ่งใดที่ไม่สมควรรู้ก็ไม่ต้องไปรู้ ไม่ต้องไปรู้ทุกเรื่อง อันนี้คือเรื่องของบุคคลอื่น แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการใช้ญาณ 8 ญาณเครื่องรู้เข้าไปดูภายใน คือดูตัวเราเอง พิจารณาเช่น แต่เดิมเราเคยสร้างบุพกรรมอย่างไรมา เราเคยสร้างกุศลอย่างไรมา เราเคยมีวิบากเคยทำกรรมอะไรมา ถ้าเรารู้ หนึ่ง เราก็ละ เราก็ขอขมากรรม เราก็ขอกราบอโหสิกรรม เราก็ขอแก้ไขได้ด้วยการเจริญพระกรรมฐาน อันนี้ก็แก้ของเราเอง อีกสิ่งหนึ่งก็คือเมื่อเห็นโทษของวิบากของกรรมที่เราเคยทำ เราก็เลิกเราก็ละ เราพิจารณาดูของเราเองว่าถ้าเรายังเกิดอีก มีโจทย์คือเจ้ากรรมนายเวร มีกรรมมีวิบากมีขุมของนรกต่างๆที่รอรับ ที่เราจะต้องไปเสวย ที่เราใช้ความฉลาดก็คือใช้ปัญญาหนีนรกมา คือนึกถึงบุญนึกถึงกุศลข้ามมา เลี่ยงมาเรื่อยๆ จริง ๆ ก็มีวิบากรออยู่เยอะ

ดังนั้นลองคิดเอาว่าถ้าไม่ตัดจบ ก็คือตัดจบไม่เกิดอีกต่อไป ปิดบัญชีทั้งหมด คือเข้ามาถึงพระนิพพาน ถ้าเมื่อไรเราคลาดจากเขตพระพุทธศาสนาหรือเผลออกุศลจิตเข้า เราร่วงลงข้างล่าง คราวนี้ชุดใหญ่ยาว ดังนั้นพระพุทธองค์ท่านจึงทรงมีพระพุทธเมตตา พระพุทธเมตตาของพระองค์นั้นประกอบไปด้วย 1 ทรงโปรดไม่ว่าจะการที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จปรากฏขึ้นกับโลกใบนี้เป็นแสงสว่าง คำสอนของพระพุทธองค์สิ่งที่ 1 ก็คือปรารถนาให้บุคคลทั้งหลายพ้นจากความทุกข์มีสุขคติอย่างน้อยก็คือสวรรค์ ถ้าสูงกว่านั้นก็ให้ได้เป็นพรหม ถ้าสูงกว่านั้นก็ขอให้ได้เป็นเทวดาที่สูงขึ้นไปอีก จนกระทั่งถึงพระนิพพาน เป้าหมายสูงสุดคือรื้อขนมวลสรรพสัตว์เข้าถึงพระนิพพาน แต่ถ้าหากวาสนาบารมีของสรรพสัตว์ดวงจิตใดยังไม่ถึง อย่างน้อยที่สุดนำพาให้พ้นนรกมาก่อน พ้นนรกขึ้นมาก่อนรอดไปชาติหนึ่งแล้วค่อยว่ากัน ไล่กันไปทีละชาติจนกว่าจะพลาดไปข้างหนึ่ง อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวาระของบุคคลนั้น แต่ถ้าอย่างเราปฏิบัติมาถึงจุดนี้ เรารู้เราเข้าใจตรงนี้ เราก็รู้แล้วว่ายังมีกรรมมีวิบากรออีกมาก

ดังนั้นจิตเราถ้ามีปัญญาเราก็จะเข้าใจว่าทำไมถึงรีบตัดจบเข้าพระนิพพาน ชาตินี้จึงเป็นหนทางที่ชาญฉลาดที่สุด เมื่อเราได้มาพบพระพุทธศาสนา เมื่อเราได้มาพบการปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานแล้ว อันนี้ก็ให้เราพิจารณาด้วยตัวเราเอง จริงๆสิ่งสำคัญในอดีตังสญาณทั้งหมดก็คือดู ดูว่าถ้าเรามีทางเลือกของจิต ถ้าเรายังไม่ไปพระนิพพาน เราต้องเกิดอีกเยอะไหม ต้องรับวิบากอะไรบ้าง มีโจทย์มารอมากแค่ไหน แต่สิ่งนี้คนไม่ค่อยมาพิจารณาหรือดูกัน หรือพิจารณาดูว่าในอดีตชาติเราสร้างวิบากกรรมอะไรมาบ้าง แล้วก็สร้างกุศลอะไรมาบ้าง การพิจารณาดูบุพเพนิวาสานุสติญาณดูอดีตชาติ ว่าเราสร้างกุศลอะไรมาบ้าง พิจารณาเพื่อให้จิตเราเกิดความชุ่มชื้นเกิดกำลังใจ และก็สามารถที่จะดึงเอาวิชาเก่าดึงกรรมฐานเก่ากลับมา กลับไปดูว่าสมัยนั้นเราฝึกยังไงทรงอารมณ์ใจยังไง ส่วนดูว่าเมื่อก่อนเราสร้างวิบากอะไรมา ก็เพื่อจะได้รู้ว่าทำมามากแล้วต้องเลิกต้องละ ต้องมาสร้างกุศลอย่างน้อยให้มันแซงให้มันมากให้มันสูงกว่า ให้กุศลพาหนีจากอกุศลที่จะเข้ามา ที่เป็นวิบากกรรม อันนี้ก็ทำเพื่อพิจารณาดูของเรา คราวนี้ก็เป็นการหลักในการใช้ญาณ 8 ในมโนมยิทธิ สิ่งสำคัญที่เอามาใช้ในเรื่องของมรรคผลพระนิพพานอย่างเช่นบางทีการใช้ญาณ 8 ก็เป็นการใช้ญาณควบ เช่นเวลาที่เราใช้มโนมยิทธิก็ดีหรืออ่านหนังสือธรรมะพร้อมกับกำลังของมโนมยิทธิก็ดี จุดสำคัญที่เป็นจุดใหญ่ซึ่งอาจารย์จะชอบมากก็คือ จุดสำคัญก็คือช่วงเวลาก่อนพระอรหันต์ครูบาอาจารย์หรือพระองค์ใดองค์หนึ่งท่านจะบรรลุธรรม คือเวลาที่เราอ่านหนังสือประวัติหลวงปู่หลวงพ่อหลวงตาต่างๆ อ่านด้วยกำลังของมโนมยิทธิเหมือนเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ แต่คราวนี้สิ่งสำคัญก็คือ เวลาที่อ่านแล้วเรารู้ทั้งเหตุการณ์เราใช้เจโตปริยญาณควบกับอดีตังสญาณ เจโตปริยญาณคือกำหนดน้อมเข้าไปรู้วาระจิตว่าท่านพิจารณาอย่างไรตัดอย่างไร มีอารมณ์ความรู้สึกของจิตอย่างไร พอเราพิจารณาเข้าใจจดจำอันนี้ถือว่าไม่ได้เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย แต่ถือว่าเป็นการปฏิบัติเพื่อการเข้าถึงธรรม อันนี้ครูบาอาจารย์ท่านก็เมตตาไม่ว่า เพราะไม่ได้เป็นการปรามาส คือเอามานะทิฐิเราไปวัดว่าท่านเก่งหรือไม่เก่ง แต่เป็นเรื่องว่าอารมณ์จิตอย่างไรถึงจะบรรลุมรรคผลพระนิพพาน อันนี้เป็นอารมณ์สำคัญ จริงๆหัวใจอยู่ที่ตรงจุดนี้ ถ้าเราอ่านหนังสือครูบาอาจารย์แล้วเข้าถึงทำความเข้าใจ อาจจะไม่ใช่อ่านหนังสืออย่างเดียวฟังไฟล์เสียงฟังการเล่าการอ่านหรือแม้แต่การใช้มโนมยิทธิเข้าไปดูเหตุการณ์ เช่นอารมณ์จิตของพระพุทธเจ้าในขณะที่กำลังจะเสด็จตรัสรู้พิจารณาธรรมในช่วงจังหวะที่ญาณทั้งหลาย บุพเพนิวาสานุสติญาณคือพระชาติทั้งหลายปรากฏขึ้นกระจ่างกับพระองค์ท่าน สิ่งต่างๆเหล่านี้แหละเป็นสิ่งที่เราสามารถที่จะใช้ควบกับญาณแปดได้

ดังนั้นถ้าเราใช้ถูกวิธี การปฏิบัติเราจะยิ่งก้าวหน้ารุดหน้ามากกว่าคนทั่วไปปกติ แต่ถ้าใช้ไปดูสัพเพเหระดูเรื่องนั้นดูเรื่องนี้ ในที่สุดเหมือนกับเราเอาของดีไปใช้ผิดประเภท ในที่สุดของดีนั้นก็เสียหายไปได้ แต่ถ้าเราใช้ถูกประเภท เราไปใช้ในทางที่ถูกใช้เพื่อตัดกิเลสใช้เพื่อพิจารณาธรรม ธรรมะเรายิ่งลึกซึ้งละเอียดขึ้น ญาณเครื่องรู้กำลังมโนมยิทธิเราก็ยิ่งแจ่มใสขึ้นชัดเจนขึ้นผ่องใสขึ้น ภูมิจิตของเราก็ใกล้สู่ความอริยะที่ค่อยๆสูงขึ้นสูงขึ้น ดังนั้นกลายเป็นว่ายิ่งใช้ยิ่งมีความชัดเจนยิ่งผ่องใสยิ่งถูกต้องยิ่งแม่นยำ ใช้แล้วยิ่งดีขึ้นดีขึ้นอัพเกรดขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่ามีมโนมยิทธิแล้วค่อยๆจากเมื่อก่อนครั้งแรกสุดโปรโมชั่น พระท่านสงเคราะห์เต็มกำลัง ชัดเจนมากๆพอยิ่งฝึกไปปฏิบัติไปยิ่งมัวลงมืดลงจนกระทั่งจอดับ จนกระทั่งเสื่อมจนกระทั่งหายไปเลย แต่ถ้าเราใช้ถูกประเภทกลายเป็นว่าทิพย์จักษุญาณก็ดีความเป็นทิพย์ของจิตภูมิจิตภูมิธรรมยิ่งก้าวหน้าขึ้นยิ่งสูงขึ้น ดังนั้นก็ขอให้เราทุกคนพิจารณาดูจิตดูใจของเรา

ตอนนี้อารมณ์จิตเราอยู่บนพระนิพพาน ตั้งจิตอธิษฐานต่อมหาสมาคม มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ขอให้ข้าพเจ้าใช้กำลังความเป็นทิพย์ ญาณฌานอภิญญาสมาบัติ ในเส้นทางแห่งมรรคผลพระนิพพาน ในวิธีการหนทางที่ถูกต้องตามพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้า ตามพุทธประสงค์ของสมเด็จองค์ปฐม และขอให้ทุกท่านทุกๆพระองค์เมตตากำกับคุ้มครองดูแล ให้จิตข้าพเจ้านี้อยู่ในลู่ในทางอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง ไม่หลุดไม่ลดเลี้ยวไม่แวะเวียนอ้อมค้อมไปจากเส้นทางของมรรคผลพระนิพพานด้วยเทอญ

จากนั้นตั้งจิตกราบ กราบทุกท่านทุกๆพระองค์ แล้วก็กำหนดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพให้สว่างที่สุดผ่องใสที่สุด กำหนดว่าเมื่อข้าพเจ้ายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้แล้ว ตายเมื่อไรข้าพเจ้าก็ขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ด้วยเทอญ

จากนั้นน้อมจิตอธิษฐาน ขออาราธนากระแสแห่งพระนิพพานทั้งหลาย รวมลงในจิตอาทิสมานกายข้าพเจ้า และขอน้อมกระแสแห่งพระนิพพานลงมาโปรดสงเคราะห์ยังหมวดหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย  นับตั้งแต่อรูปพรหมทั้งสี่ พรหมโลกทั้งสิบหกชั้น สวรรค์ อากาศเทวดาทั้งหก รุกขเทวดาภุมเทวดาทั่วอนันตจักรวาล ตลอดรวมไปจนถึงมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ห้ากายเนื้อทั่วอนันตจักรวาลทุกดวงดาว แผ่เมตตาต่อไปยังภพของโอปปาติกะสัมภเวสีดวงจิตดวงวิญญาณชาวเมืองบังบดชาวเมืองลับแล มิติที่ทับซ้อนทั้งหลาย ขอให้ได้รับกระแสแห่งบุญกุศลนี้ แผ่เมตตาต่อไปยังภพของเปรตอสุรกาย แผ่เมตตาต่อไปยังนรกทุกขุม จนถึงขุมที่ลึกที่สุดคือโลกันตมหานรก

จากนั้นน้อมอาราธนาสมเด็จองค์ปฐมเมตตาปรากฏเป็นสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิเปิดโลก แผ่เมตตาโปรดสงเคราะห์มวลหมู่สรรพสัตว์ทั่วสามภพภูมิอีกครั้งหนึ่ง ขอจงมีความสุขสวัสดี ขอจงพ้นจากความทุกข์ ขอเข้าถึงความสุข ขอสัมผัสโมทนาในกระแสแห่งบุญอันชุ่มเย็น ขอจงเป็นผู้ที่ปราศจากภัย ขอเป็นผู้ที่ปราศจากเวร ขอเป็นผู้ที่ปราศจากโรคภัยทั้งหลาย ขอให้เป็นผู้ที่ปราศจากวิบากการเบียดเบียนกัน ขอสรรพสัตว์จงเข้าถึงความสุขสงบสันติร่มเย็นขอน้อมจิตเข้าสู่บุญกุศลในธรรมด้วยเทอญ

จากนั้นอาราธนากระแสแห่งพระนิพพานกระแสบุญลงมา น้อมเป็นกระแสเป็นแสงสว่างลงมาคลุมโลกทั้งหมด ขอจงเกิดความสุขสงบสันติร่มเย็น กระแสบุญจงทะลุทะลวงลงไปถึงแกนกลางโลก ถึงแม่พระธรณี บุญทั้งหลายจงหลั่งไหลลงมา แม่พระธรณีจงเป็นพยาน ในการบุญที่ปรากฏขึ้นของสรรพสัตว์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ขอบุญนี้จงมาเป็นกุศลค้ำยันปฐพี ธาตุดินน้ำลมไฟบนโลก จงฟื้นกลับคืนปรับสู่ความสมดุล โลกจงพลิกฟื้นกลับคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์สันติสุขความร่มเย็น น้อมกระแสแห่งพระนิพพานลงมาคุ้มครองเขตพระพุทธศาสนา ขอจงเกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์กระแสพุทธานุภาพธรรมานุภาพสังฆานุภาพ ขอพุทธบริษัท สี่ จงเข้าถึงกระแสแห่งอริยมรรคอริยผล กระแสแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า กระแสแห่งบุญกุศล ขอบารมีจงเพิ่มพูนขึ้นในทุกดวงจิต น้อมกระแสแห่งพระนิพพานกระแสบุญลงมาคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอจงมีความสวัสดิมงคล แผ่พระบารมีคุ้มครองปกเกล้าปกกระหม่อมปวงชนชาวไทยทั้งปวง ให้ฟื้นกลับคืนมาสู่ความสุขสงบร่มเย็น ความอุดมสมบูรณ์ความมั่งคั่งเข้าสู่ยุคชาววิไลด้วยเทอญ

จากนั้นกำหนดจิตกราบทุกท่านทุกๆ พระองค์บนพระนิพพาน ด้วยความนอบน้อมเคารพ จิตกราบถึงพระพุทธเจ้า จิตกราบถึงพระอรหันต์ จิตกราบถึงพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เมื่อกราบจิตเราถึงแล้ว เรากราบลาพุ่งจิตกลับลงมายังโลกมนุษย์พร้อมกับน้อมกระแสแห่งพระนิพพานเป็นลำแสงเป็นความสว่างเป็นความบริสุทธิ์เป็นกระแสธรรมกระแสพระนิพพาน ธรรมที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธ เจ้าพระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ทรงได้เข้าถึง น้อมเป็นกระแสพระนิพพานลงมาชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ กระแสธรรมฟอกธาตุขันธ์จากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใสสะอาด  โครงกระดูกทั่วร่างกายกลายเป็นแก้วใสสะอาด หลอดเลือดเส้นเอ็นกลายเป็นแก้วใสสะอาด โรคภัยไข้เจ็บเชื้อพิษทั้งหลายสลายล้าง กล้ามเนื้อทุกส่วน เซลล์ทุกเซลล์ กลายเป็นแก้ว กลายเป็นเพชรใสสะอาด ขันธ์ห้าร่างกายสลายล้างโรคภัยไข้เจ็บ เซลล์มะเร็งเซลล์เนื้องอกโรคทั้งหลายสลายตัวไป วิบากทั้งหลายคลายตัวไป สลายตัวไป ด้วยกำลังแห่งบุญ ด้วยกำลังแห่งพระกรรมฐาน ขอประโยชน์แห่งการเจริญพระกรรมฐาน อานิสงส์สูงสุดจงปรากฏเกิดผลทั้งทางโลกทั้งทางธรรม ทั้งกายและจิตสะอาดใส บุญหล่อเลี้ยงดวงชะตาของเรา กุศลมหากุศลหล่อเลี้ยงชีวิตของเรา มีชีวิตอยู่ในบุญในทานในกุศลในความดี เมตตาเป็นเกราะแก้วคุ้มครองเป็นมหานิยม ป้องกันคุ้มกันเราจากภัยพิบัติทั้งปวง

จากนั้นตั้งใจ โมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรทุกคนที่เจริญพระกรรมฐานร่วมกันทั้งแปดสิบสี่ท่าน บุญก่อเกิดเป็นอภิจิต บุญสำเร็จจากการภาวนา การรักษาจิต การทรงจิต

จากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกๆ 3 ครั้ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ด้วยจิตอันเป็นสุข จิตผ่องใสสว่าง ออกจากสมาธิด้วยจิตอันเป็นสุข อยู่ในบุญกุศล

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ก็มีเรื่องแจ้งประชาสัมพันธ์ให้ทราบในเรื่องของการรวบรวมแผ่นทองสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ใครที่ยังเขียนค้างอยู่มีแผ่นทองตกค้างอยู่ก็พยายามรวบรวมส่งกลับคืนมาให้ทางคุณกฤติกาเพื่อรวบรวมต่อ แล้วก็ยังสามารถที่จะร่วมบุญในการสร้างกุศลถวายปัจจัยในการหล่อพระได้ เพราะก็ยังต้องใช้ปัจจัยอีกจำนวนมากจำนวนหนึ่ง แล้วก็ใครที่มีจิตศรัทธาจะเป็นสายบุญก็ดีหรือว่าจะถวายทองคำในการหล่อพระพุทธรูปพิเศษองค์นี้ก็สามารถแจ้ง สามารถบอกมาให้ทราบได้ ซึ่งกำหนดการหล่อก็ประมาณเดือนกันยายน รายละเอียดก็อีกไม่นานก็จะออกแบนเนอร์มา เพื่อที่เราหลายคนก็จะได้ไปร่วมงานด้วย ซึ่งตัวครูบาอาจารย์ท่านก็เมตตาสงเคราะห์มาร่วมในการงานหล่อนี้หลายรูปด้วยกัน และในปัจจุบันก็มีครูบาอาจารย์เกือบทุกสายที่ท่านเมตตาสงเคราะห์ได้จารคำอธิษฐานในการร่วมหล่อพระพุทธรูปองค์นี้ให้แล้วด้วยเช่นกัน ก็เราหลายๆคนมีส่วนร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ตั้งจิตพระนิพพานชาตินี้ เรารู้จักใครที่เป็นลูกหลานหลวงพ่อก็ดี หรือว่าปฏิบัติทางสายอื่นแต่ตั้งจิตปรารถนาพระนิพพานชาตินี้ก็ดี ถ้าเรารู้จักบุคคลเหล่านี้ก็เป็นไปได้ก็พยายามให้เขาได้มาร่วมบุญด้วย ให้เขามารู้เรื่องด้วย อย่างน้อยจะร่วมบุญมากน้อยไม่เป็นไร แต่อยากให้เขาทุกคนได้มีส่วนร่วมตรงนี้ เพราะถือว่ากำลังบุญจะได้รวมในสภาวะที่จิตเป็นหนึ่ง คือกำลังใจของจิตแสนดวง มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน ตรงนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่รวบรวมพลังงานตรงนี้ได้ยากมาก เป็นความพิเศษตรงเรื่องการรวมจิตรวมใจ ดังนั้นก็อยากให้เราทุกคนที่มีส่วนร่วม ได้เข้าใจ ได้ตระหนักถึงความสำคัญตรงนี้

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน สัปดาห์หน้าก็พบกันใหม่ ฝึกสมาธิแล้วก็ช่วงนี้อย่าลืมว่า เหตุการณ์โลกมันก็มีความคับขัน พยายามขยันในการเจริญพระกรรมฐาน ขยันในการสวดพระคาถาเงินล้าน พยายามตั้งกำลังใจ พยายามเจริญเมตตาทุกวันไว้เสมอ สำหรับวันนี้ก็ขอฝากไว้แต่เพียงเท่านี้ สวัสดีพบกันสัปดาห์หน้า

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณวิลาวัลย์ วลีเดช

You cannot copy content of this page